แม่เด็กชายวัย 14 ปี ที่ขับรถจยย. ประสบอุบัติเหตุ วอนสังคมเห็นใจหยุดวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นต้นเหตุ ล่าสุดเคลียร์กับสามีแล้ว
ความคืบหน้ากรณีที่ เด็กชายธี อายุ 14 ปี ขับขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถยนต์จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบนถนนบ้านไผ่-บรบือ หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 โดยหลังเกิดเหตุแม่ของเด็กชายธี ผู้บาดเจ็บ ซึ่งมีอาชีพขายเนื้ออยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 500 เมตร รีบมาดูลูกที่เกิดอุบัติเหตุ ยืนร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ จังหวะนั้นเองผู้เป็นพ่อได้เดินมาใช้มือตบที่หัวจนคะมำล้มลง พร้อมกับตำหนิผู้เป็นแม่ว่าบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรซื้อรถให้ลูกที่อยู่วัยคึกคะนองขับ ซึ่งรถจักรยานยนต์เพิ่งซื้อมาได้เพียง 8 วัน ยังไม่ได้ป้ายทะเบียนก็มาเกิดอุบัติเหตุ ภายหลังจากข่าวนี้ถูกนำเสนอออกไปปรากฎว่ามีผู้มาแสดงความคิดเห็นไปในทางตำหนิผู้เป็นแม่จำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวเราได้พูดคุยกับ นางอรนงค์ อายุ 38 ปี มารดาของเด็กชายธี ทราบว่า วันเกิดเหตุลูกชายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์จะเข้าตัวอำเภอบ้านไผ่ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุรถยนต์คู่กรณีซึ่งเป็นเจ้าของร้านเชือกมัดกล่องพัสดุ เชือกขาวเกลียวได้ตัดหน้ากระทันหัน จนเฉี่ยวชนทำให้รถจักรยานยนต์ลูกชายเสียหลักล้ม ลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ถูกนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น อาการลูกชายถือว่าปลอดภัยแล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ข่าวได้นำเสนอผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ก็ได้มีผู้มาวิพากษ์วิจารณ์ตนเองไปในทางเสียหาย บ้างก็ว่ารักลูกไม่ถูกทาง บ้างก็ว่าซื้อรถบิ๊กไบค์เหมือนซื้อโลงศพให้ลูกและด่าทอต่างๆ นานาจนตนเองไม่สบายใจและต้องคอยหลบหน้าสื่อ จนอยู่ในสังคมลำบาก
นางอรนงค์ ยังบอกอีกว่า รถจักรยานยนต์ที่ซื้อให้ลูกชายได้เพียง 8 วัน ซื้อมาด้วยเงินดาวน์ และไม่ใช่บิ๊กไบค์เหมือนที่สื่อได้นำเสนอ ที่ซื้อให้ลูกชายเพราะเห็นว่าที่ลูกชายไม่มีรถจักรยานยนต์ใช้เวลาจะไหว้วานหรือใช้งานไปไหนก็ลำบากเพราะตัวเองต้องค้าขาย ยอมรับว่าที่ซื้อให้เพราะรักลูกชาย เวลาลูกขอในฐานะผู้เป็นแม่ ไม่ว่าใครๆ ก็คงคิดเหมือนตนเองว่าอยากให้สิ่งดีๆ กับลูกเสมอ แต่ตนเองก็ไม่ได้อยากเห็นลูกต้องมาประสบอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ เพราะหลังจากเกิดเหตุตนเองก็เจ็บไม่แพ้ลูกชาย ส่วนที่เห็นสามีตนเองนั้นตบจนหัวคะมำ ก็มาจากความรักที่คนเป็นพ่อและแม่ ไม่อยากจะมาเห็นลูกต้องได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ขณะนี้ก็ได้พูดคุยทำความเข้าใจกันแล้ว จึงอยากให้สังคมเข้าใจและหยุดวิพากษ์วิจารณ์ตนเองไปในทางเสียหาย